วันอังคารที่ 4 มีนาคม พ.ศ. 2557

เจ้าชายวิลเลี่ยม - เคท มิดเดิลตัน (นิยายความจริง!)




สำหรับเจ้าชายวิลเลียมแห่งเวลส์นั้น ประสูติเมื่อวันที่ 21 มิถุนายน พ.ศ.2525 เป็นโอรสองค์โตของเจ้าฟ้าชายชาร์ลส์ มกุฏราชกุมารแห่งอังกฤษ และเจ้าหญิงไดอาน่า ส่วน เคท มิดเดิลตัน นั้น เกิดเมื่อวันที่ 9 มกราคม พ.ศ.2525 เป็นสามัญชนชั้นกลาง ลูกสาวนักบินและแอร์โฮสเตส

 แม้ทั้งคู่จะเติบโตมาในครอบครัวที่ต่างชั้น ต่างสังคมกัน แต่แล้วโชคชะตาก็นำพาให้ทั้งคู่มาพบเจอกันจนได้ เมื่อเจ้าชายวิลเลียม และ เคท มิดเดิลตัน ได้เข้ารับการศึกษาในมหาวิทยาเซนต์แอนดรูว์ เมื่อปี พ.ศ.2544 โดยเรียนด้านประวัติศาสตร์ศิลป์ด้วยกันทั้งคู่ เจ้าชายวิลเลียมและเคท มิดเดิลตัน จึงได้เริ่มต้นมิตรภาพความเป็นเพื่อนระหว่างกันนับแต่นั้น ซึ่งในตอนนั้น เคท มิดเดิลตัน ได้กลายมาเป็นกำลังใจสำคัญของเจ้าชายวิลเลียม เมื่อเจ้าชายวิลเลียมประสบปัญหาเรื่องเรียนจนอยากจะลาออกแต่ เคท มิดเดิลตัน ก็ยืนหยัดอยู่เคียงข้าง โดยแนะนำให้เจ้าชายวิลเลียมเปลี่ยนสาขาไปเรียนด้านภูมิศาสตร์แทน และหลังจากที่ทั้งคู่เป็นเพื่อนกันได้เพียง 4 เดือน ก็มีเหตุการณ์ที่ทำให้สื่อมวลชนต่างสงสัยและตั้งข้อสังเกตว่า เจ้าชายวิลเลียมเริ่มมีความรู้สึกดีกับ เคท มิดเดิลตัน เสียแล้ว เมื่อเขาได้ลงทุนซื้อบัตรที่นั่งแถวหน้างานเดินแบบซึ่งมี เคท มิดเดิลตัน เป็นนางแบบในครั้งนั้น หลังจากนั้นมา ความสัมพันธ์ฉันท์เพื่อนระหว่างเจ้าชายวิลเลียมและเคท มิดเดิลตัน ก็เป็นที่วิพากษ์วิจารณ์ของสื่อมวลชนเป็นอย่างมาก แม้ตอนนั้น เคท มิดเดิลตัน จะมีแฟนอยู่แล้วก็ตาม

          หลังจากนั้นเพียงครึ่งปี เจ้าชายวิลเลียมและเคท มิดเดิลตัน ก็ได้ย้ายออกจากหอพักในมหาวิทยาลัยไปอยู่บ้านหลังเดียวกัน ซึ่งมีพระสหายอาศัยอยู่ด้วยอีก 2 คน การย้ายมาอยู่บ้านเดียวกันนี้ แม้จะในฐานะเพื่อนแต่ก็ทำให้ทั้งคู่สนิทสนมและมีการพัฒนาความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดยิ่งขึ้นและในเดือนมิถุนายน ปี 2546 เคท มิดเดิลตัน ก็ได้ไปปรากฏตัวในงานเลี้ยงวันเกิดเจ้าชายวิลเลียมที่พระราชวังวินด์เซอร์ และถูกจับตามองเป็นพิเศษจากแขกเหรื่อและสื่อมวลชนในงาน แต่กระนั้น เมื่อมีสื่อมวลชนเข้าไปถามถึงเรื่องราวความรักของเจ้าชายวิลเลียม กลับได้รับคำตอบกลับมาว่า เจ้าชายวิลเลียมยังไม่มีคนรักแต่อย่างใด
ต่อมา ในช่วงคริสต์มาส ปี 2546 ก็มีข่าวว่าทั้งคู่เริ่มคบหากันแล้ว หลังจากที่ เคท มิดเดิลตัน เลิกรากับแฟนเก่า และไม่นานนักก็มีรูปถ่ายของทั้งคู่ออกมายืนยันความสัมพันธ์ ขณะเล่นสกีด้วยกัน ซึ่งในช่วงนั้น เจ้าชายวิลเลียมก็ได้ออกมาเผยว่า พระองค์ไม่อยากแต่งงาน จนกว่าจะอายุ 28 หรือ 30 ปี

          หลังจากนั้นไม่นาน ทั้งคู่ก็มีข่าวระหองระแหงกัน และยิ่งย้ำชัดมากขึ้นเมื่อ เคท มิดเดิลตัน ไม่ได้ถูกเชิญให้เข้าร่วมพิธีเสกสมรสระหว่างเจ้าชายแห่งเวลส์ และคามิลลา ปาร์คเกอร์ ที่จัดขึ้นในพระราชวังวินด์เซอร์ ซึ่งหลังจากนั้นไม่นานนัก เมื่อปี 2548 เจ้าชายวิลเลียมก็ได้ออกมาเปิดเผยว่า ได้เลิกรากับเคท มิดเดิลตัน จริง เพราะพระองค์และเคทยังเด็กมาก อยู่แค่มหาวิทยาลัยก็ต้องค้นหาตัวเองกันต่อไปส่วน เคท มิดเดิลตัน เองก็เปิดเผยว่า หลังจากที่เธอเลิกรากับเจ้าชายวิลเลียมแล้วเธอเองก็ไม่มีความสุขเลย
แต่แล้ว ครึ่งปีต่อมา เจ้าชายวิลเลียมกับเคทก็หวนกลับมาพบกันอีกครั้งเมื่อ เคท มิดเดิลตัน ถูกเชิญไปงานเลี้ยง และร่วมชมคอนเสิร์ตรำลึกถึงเจ้าหญิงไดอาน่า พระมารดาของเจ้าชายวิลเลียม ความสัมพันธ์ระหว่างเจ้าชายวิลเลียมและเคท จึงกลับมารักกันอีกครั้งและคราวนี้ ก็ดูเหมือนว่าเจ้าชายวิลเลียมจะจริงจังกับเคทมากขึ้น โดยได้ควงคู่ออกงานและปฏิบัติพระราชกรณีกิจของราชวงศ์ร่วมกันเรื่อยมา แต่ชีวิตรักของทั้งคู่ก็ไม่ได้ราบเรียบเลย เพราะระหว่างที่คบหากันนั้น เจ้าชายวิลเลียมและเคทต่างเป็นที่สนใจของผู้คนและสื่อมวลชนทั่วโลก แต่เจ้าชายวิลเลียมก็ปกป้องเคทไม่ให้ถูกคุกคามจากสื่อมวลชนมาโดยตลอด

          เมื่อบ่มเพาะความรักจนสุกงอม และถึงเวลาใช้ชีวิตคู่กันอย่างแท้จริงเสียทีแล้ว เจ้าชายวิลเลียมก็ได้ประกาศหมั้น เคท มิดเดิลตัน เมื่อเดือนพฤศจิกายน ปี 2553 และมีกำหนดการเข้าพิธีเสกสมรสกันในวันที่ 29 เมษายนนี้ เป็นการยืนยันถึงรักแท้ระหว่างเจ้าชายผู้สูงศักดิ์ และสามัญชนที่ไม่ได้ปรากฎอยู่แค่ในนิยายอีกต่อไป ซึ่งพิธีเสกสมรสดังกล่าว จะถูกจัดขึ้นอย่างยิ่งใหญ่ ท่ามกลางประชาชนหลายแสนที่มาร่วมชมขบวนรถม้าพระที่นั่ง และอีกหลายล้านคนที่กำลังรอคอยชมการถ่ายทอดสดบรรยากาศงานพระราชพิธีเสกพร้อมกันทั่วโลกในอีก 3 วันข้างหน้านี้

วันพุธที่ 26 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2557

รักแรกพบ ในหลวง - พระราชินี

รักแรกพบ ... 

วันหนึ่งในปีพ.ศ.2489 วันที่ทรงแรกพบ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวซึ่งประทับอยู่เมืองโลซาน ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ เสด็จฯ ไปยังประเทศฝรั่งเศส เพื่อทอดพระเนตรรถยนต์พระที่นั่งแทนคันเดิมซึ่งทรงใช้มานาน โปรดเกล้าฯ ให้ม.จ.นักขัตรมงคล กิติยากร เอกอัครราชทูตไทยประจำกรุงปารีสพร้อมครอบครัวเข้าเฝ้าทูลละอองธุลีพระบาท

วันนี้เองที่ทรงพบกับ ม.ร.ว.สิริกิติ์ กิติยากร ธิดาของ ม.จ.นักขัตรมงคล และ ม.ล.บัว กิติยากร ที่มารับเสด็จ โดยวันนั้น ม.ร.ว.สิริกิติ์แต่งตัว เรียบร้อย สวมสูทสีเนื้อ ไว้หางเปียยาวถึงหลัง พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเสด็จฯ มาถึงช้ากว่ากำหนด ทราบสาเหตุภายหลังว่าเนื่องจากรถยนต์พระที่นั่งเกิดเสียและน้ำมันหมด ตรัสว่าทรงจำได้ดีถึงสีหน้าของ ม.ร.ว.สิริกิติ์ที่ทั้งหิวและรอนาน

เมื่อเสด็จฯ มาถึงราชเลขาฯ ได้เชิญแต่ผู้ใหญ่ร่วมโต๊ะเสวย แล้วให้เด็กไปรับประทานอาหารจีนอีกที่ จึงทำให้ ม.ร.ว.สิริกิติ์เคืองอยู่นิดๆ

เมื่อตรัสถึงเรื่องนี้ทั้งสองพระองค์จะทรงพระสรวล โดยพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงล้อสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ว่า "เดินตุปัดตุเป๋ หน้างอ คอยถอนสายบัว" สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถทรงกราบบังคมทูลตอบว่า "ที่หน้างอ เพราะให้แต่ผู้ใหญ่ร่วมโต๊ะเสวย เด็กกลับไล่ไปกินที่อื่น"




ก่อนทรงได้พบกับม.ร.ว.สิริกิติ์ ทรงทราบถึงความน่ารักจากสมเด็จพระราชชนนีมาก่อนแล้ว ในการเสด็จเยือนปารีสครั้งแรก สมเด็จพระราชชนนีรับสั่งเป็นพิเศษว่าให้ไปทอดพระเนตรลูกสาว ของม.จ.นักขัตรมงคล "ว่าจะสวย น่ารักไหม" ทรงกำชับว่า "เมื่อถึงปารีสแล้วให้โทร.บอกแม่ด้วย"

เมื่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเสด็จฯ ถึงก็ทรงโทรศัพท์หาและตรัสว่า "เห็นแล้ว น่ารักมาก"

เนื่องจากเวลาเสด็จฯ ยังกรุงปารีส พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวประทับที่สถานทูตไทย ทำให้ครอบครัวม.จ.นักขัตรมงคลซึ่งรวมถึงม.ร.ว.สิริกิติ์เป็นที่คุ้นเคยเบื้องพระยุคลบาท ความที่ได้พบพระพักตร์บ่อยครั้ง ทั้งยังมีความชอบในสิ่งเดียวกันโดยเฉพาะการดนตรี ประกอบกับนิสัยร่าเริง สุภาพอ่อนน้อม และขี้อายในบางครั้ง ทำให้ยิ่งประทับพระราชหฤทัย โดยมีความสวยงามของเมืองโลซานเป็นฉากหลังที่โรแมนติกและมีความหมายยิ่งต่อทั้งสองพระองค์

ข่าวใหญ่ที่ทำให้ประชาชนชาวไทยตกใจเป็นอย่างมากในเดือนตุลาคม พ.ศ.2491 คือข่าวพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงประสบอุบัติเหตุทางรถยนต์นอกเมืองโลซาน ระหว่างที่ประทับรักษาพระองค์ที่โรงพยาบาลในตำบลเมอร์เซสนั้น รับสั่งให้ราชองครักษ์ ติดต่อไปยังม.จ.นักขัตรมงคล ให้ม.ล.บัว กิติยากร พาธิดาทั้งสองคือม.ร.ว.สิริกิติ์และม.ร.ว.บุษบาเข้าเฝ้าฯ เยี่ยมพระอาการที่ โรงพยาบาลเป็นประจำทุกวัน

มีพระราชกระแสรับสั่งว่า เมื่อทรงฟื้นคืนพระสติครั้งแรก ทรงระลึกถึงบุคคลเพียง 2 คน คือสมเด็จพระราชชนนีและม.ร.ว.สิริกิติ์




เรื่องนี้ ท่านผู้หญิงเกนหลง สนิทวงศ์ ณ อยุธยา ได้กล่าวว่า "สิ่งแรกเมื่อรู้สึกพระองค์คือทรงหยิบรูป ม.ร.ว.สิริกิติ์ออกจากพระกระเป๋า ส่งถวายสมเด็จพระราชชนนี พร้อมกับรับสั่งว่า 'แม่ เรียกสิริมาที'" ท่านผู้หญิงเกนหลงกล่าวว่า "รูปม.ร.ว.สิริกิติ์รูปนั้นเป็นรูปแรกที่ทรงถ่าย เป็นรูปหมู่ที่ถ่ายตอนบุคคลเข้าเฝ้าฯ ณ สถานทูต ม.ร.ว.สิริกิติ์อยู่เป็นคนสุดท้าย เห็นหน้าไม่ชัด พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรับสั่งว่า 'ยู้ฮู คนข้างหลังโผล่หน้ามาหน่อยสิ' รูปนั้นทรงตัดเฉพาะหน้าม.ร.ว.สิริกิติ์ไว้ในพระกระเป๋า"

ความที่ม.ร.ว.สิริกิติ์เข้าเฝ้าฯ และถวายการพยาบาลอย่างใกล้ชิด ทำให้ความสัมพันธ์แน่นแฟ้น ในเดือนกรกฎาคม พ.ศ.2492 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ม.จ.นักขัตรมงคลเข้าเฝ้าฯ ที่นครโลซาน ทรงมอบหมายให้ม.จ.จักรพันธุ์เพ็ญศิริ จักรพันธุ์ เป็นผู้ทูลเกริ่นทาบทามเรื่องที่จะทรงขอหมั้นก่อน ขณะที่พระองค์เองมีพระราชดำรัสเป็นการส่วนพระองค์กับม.ร.ว.สิริกิติ์ล่วงหน้าแล้ว

พระราชพิธีทรงหมั้นจัดขึ้นเป็นการภายใน ณ โรงแรมวินด์เซอร์ เมื่อวันที่ 19 กรกฎาคม 2492 โดยค่ำวันที่ 12 สิงหาคม 2492 มีงานเลี้ยงที่สถานทูตไทยในกรุงลอนดอน พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ประกาศข่าวทรงหมั้นให้คนไทยทราบ โดยจอมพล ป.พิบูลสงคราม นายกรัฐมนตรีในขณะนั้นเป็นผู้ประกาศ ข่าวที่เผยแพร่ออกไปนำมาซึ่งความดีใจแก่ประชาชนไทยเป็นอย่างยิ่ง สื่อ มวลชนหลายสำนักทั่วโลกต่างนำเสนอข่าวนี้

หลังพระราชพิธีหมั้นผ่านไป 7 เดือน พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเสด็จนิวัติประเทศไทยทางชลมารค โดยมีม.ร.ว.สิริกิติ์และครอบครัว รวมถึงข้าราชบริพารตามเสด็จ

หลังเสร็จสิ้นพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดล ประมาณ 1 เดือน ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้จัดการพระราชพิธีราชาภิเษกสมรสขึ้นในวันที่ 28 เมษายน 2493 ณ วังสระปทุม

และทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้อาลักษณ์อ่านสถาปนา ม.ร.ว.สิริกิติ์เป็นสมเด็จพระราชินีสิริกิติ์ พระราชทานเครื่องขัตติยราชอิสริยาภรณ์อันมีเกียรติคุณรุ่งเรืองยิ่งมหาจักรีบรมราชวงศ์ ซึ่งเป็นเครื่องราชอิสริยาภรณ์สูงสุดแก่สมเด็จพระราชินีสิริกิติ์

วันต่อมาเสด็จฯ ไปประทับพักผ่อนพระอิริยาบถและฮันนีมูนที่พระตำหนักเปี่ยมสุข วังไกลกังวล อำเภอหัวหิน จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ เป็นเวลา 3 วัน พร้อมด้วยคณะผู้ตามเสด็จโดยรถไฟ

ตลอดเส้นทางที่เสด็จฯ นั้นมีประชาชนมาเฝ้าฯ รับเสด็จเนืองแน่น ส่วนหนึ่งต้องการยลพระสิริโฉมของพระราชินีนั่นเอง

สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ทรงปฏิบัติหน้าที่ภรรยาโดยไม่ขาดตกบกพร่อง โดยเสด็จฯ เคียงคู่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอยู่เสมอ ทั้งในและต่างประเทศและในถิ่นทุรกันดาร ทรงเป็นตัวอย่างของคำว่า "คู่ทุกข์คู่ยาก"

จากความรักแบบหนุ่มสาว เมื่อทรงมีพระราชโอรสและพระราชธิดา ทรงทุ่มเทความรัก ทรงอบรมพระราชโอรส-ธิดาของพระองค์เป็นคนดี และรับผิดชอบต่อประชาชนและบ้านเมือง

วันพุธที่ 19 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2557

ผู้พิชิตใจ นโปเลียน


ค่ะวันนี้เรามาพูดถึงความรักที่ของชายหนุ่มที่เก่งและโด่งดังโดยตกหลุ่มรักหญิงสาวแม่หม้ายคนหนึ่งที่เค้ารักจนหมดใจ แต่ก็น่าเสียดายที่เค้าทั้งสองคนกับได้ใช้เวลาอยู่ด้วยกันอันน้อยนิด ... 


โจเซฟีน(บางคนเรียก โยเซฟีน) เดอ โบอาร์แน (Joséphine de Beauharnais) คือหญิงสาวที่นโปเลียนรักมากที่สุด เธอแต่งงานตั้งแต่วัยเยาว์เพราะบิดาต้องการเงินมาจุนเจือครอบครัว แต่สามีถูกประหารชีวิตในการปฏิวัติฝรั่งเศส

หลังจากนั้นก็กลายเป็นภรรยาน้อยของผู้นำปฏิวัติฝรั่งเศส แต่เขาก็เบื่อและคิดจะเอาเพื่อนรักของเธอทำเมียน้อยแทน

นโปเลียนพบรักกับโจเซฟีนครั้งแรกเมื่อตอนที่โจเซฟีนส่งลูกชายซึ่งมีอายุเพียง 12 ปี เข้าเพื่อขอให้นโปเลียนคืนดาบของบิดาตนที่ตายลงในขณะเกิดกบฎ

โจเซฟีนเกิดที่เกาะมาตินีคเป็นเชื้อสายผู้ดี แม้จะไม่ค่อยสวย แต่ก็มีกิริยามารยาทสง่างาม มีเสน่ห์ เธอมีนิสัยเจ้าชู้และเป็นหญิงที่ชอบทำอะไรเอาใจตนเอง

หลังจากเหตุการณ์การขอคืนดาบ นโปเลียนไปเยี่ยมบ้านของเธอที่ตั้งอยู่นอกเมืองปารีสเสมอ ๆ จนกระทั่งนโปเลียนตกหลุมรักชนิดถอนตัวไม่ขึ้น

อีก 3 เดือนต่อมาทั้งคู่ได้ประกาศหมั้นและแต่งงาน ในตอนนั้นเขาเต็มใจที่จะยอมรับลูกทั้งสองของเธอมาเลี้ยงเธอจึงแต่งงานกับเขาในเดือนมีนาคม ค.ศ. 1796 ของขวัญวันแต่งงานที่เธอได้จากนโปเลียนคือ เหรียญทองที่สลักคำไว้ว่า "แด่ชะตากรรม"

ภายหลังการแต่งงาน นโปเลียนออกเดินทางเพื่อทำสงครามครั้งใหม่ในอิตาลี ด้วยความเก่งกล้าสามารถอันยอดเยี่ยมจนเป็นที่เลื่องลือกันอย่างใหญ่โตในยุโรป

แต่สิ่งที่น่าพิศวงคือ นโปเลียนเขียนจดหมายถึงโจเซฟีนทุกวัน และเป็นจดหมายที่วิเศษด้วย ข้อความคมคาย เร่าร้อน ทำให้อารมณ์อ่อนไหว

"โจเซฟีนที่รัก เธอทำให้ฉันซาบซ่านอยู่ด้วยความรักจนกระทั่งฉันกลายเป็น คนที่ไม่มีเหตุผล ฉันกินไม่ได้ นอนไม่หลับ ไม่เอาใจใส่เพื่อนฝูง ฉันไม่ใส่ใจ ต่อเกียรติศักดิ์ ฉันถือว่าชัยชนะเป็นสิ่งมีค่าเพราะทำให้เธอพึงพอใจ ถ้าไม่ใช่เพราะเหตุนี้ ฉันจะทิ้งกองทหารของฉันและรีบกลับกรุงปารีสเพื่อโผคุกเข่า ณ แทบเท้าของเธอ เธอทำให้ฉันซาบซ่านด้วยความรักปราศจากขอบเขต เธอได้เข้ามาอยู่ในหัวใจฉันด้วยความมึนเมาอย่างไร้สติ ไม่เคยเลยแม้แต่สักชั่วโมงเดียวที่ฉันมิได้มองดูภาพเขียนของเธอ และไม่เคยเลยแม้แต่สักชั่วโมงเดียวที่ฉันมิได้หลั่งจูบลงที่ภาพนี้"

นั่นคือข้อความของหนึ่งในจดหมายที่นโปเลียนเขียนถึงโจเซฟีนทุกวัน

สาวใดได้รับจดหมายรักที่มีถ้อยคำหวานล้ำขนาดนี้คงรักผู้ที่เขียนจดหมายอย่างถวายชีวิต โดยเฉพาะผู้เขียนคือนโปเลียนผู้กำลังโด่งดัง

แต่เปล่าโจเซฟีนกลับไม่สนใจอะไรนัก กลับไปทำเจ้าชู้กับผู้ชายอีกคนหนึ่ง และเธอไม่ได้ตอบจดหมายของนโปเลียนเลย นั่นทำให้นโปเลียนแทบคุ้มคลั่ง

โดยเฉพาะนายทหารหนุ่มที่ชื่อ อีปอลิต ชาร์ล ซึ่งอายุน้อยกว่าถึง 10 ปี เธอลุ่มหลงเขามากเมื่อหมดทางเลี่ยงเธอจึงต้องจำใจไปมิลานโดยไม่ลืมที่จะเอาอีปอลิตของเธอไปด้วย

จนในที่สุดนโปเลียนก็รู้เรื่องนี้ ในตอนแรกนโปเลียนเองก็ไม่เชื่อ แต่เมื่อกลับมาที่บ้านในมิลานก็พบว่าเธอเดินทางไปเจนัวพร้อมกับอีปอลิต

เมื่อโจเซฟีนกลับมาจากเจนัวก็ปฏิเสธ แต่นโปเลียนไม่เชื่อและอาละวาด หลังจากนั้นเธอก็เริ่มตระหนักว่านโปเลียนรักเธอมากเพียงใด และชีวิตของเธอจะเป็นอย่างไรถ้าขาดเขา จากนั้นเองเธอจึงเริ่มมีใจให้กับนโปเลียน

ตั้งแต่วันนั้นเธอก็ไม่ได้ก่อเรื่องอื้อฉาวขึ้นมาอีกเลย แต่นโปเลียนเริ่มไม่วางใจในตัวเธออีกต่อไป เขามอบความเย็นชาให้กับเธอ และไม่นานนโปเลียนก็หันไปหาผู้หญิงอื่นที่พร้อมจะเป็นคุณนายโบนาปาร์ตกันทั้งสิ้น

เธอมอบความรักให้มากขึ้นเท่าที่เขาจะทวีความเย็นชาต่อเธอ เมื่อนโปเลียนได้ตำแหน่งกงสุลใหญ่ อีกสี่ปีต่อมาเขาก็ปราบดาภิเษกขึ้นเป็นสมเด็จพระจักรพรรดิแห่งฝรั่งเศส และสวมมงกุฎพระจักรพรรดินีให้

หลังจากสงคราม ถึงแม้ว่าน้องสาวของนโปเลียนจะไม่ถูกกับโจเซฟีนจนเรียกโจเซฟีนว่า "อีแก่" และยุนโปเลียนให้หย่ากับ "เมียแก่อ้วนตุตะ" แล้วไปหาเมียสาวๆกว่านั้น แต่คำยุไม่สามารถทำลายความรักของนโปเลียนที่มีต่อโจเซฟีนได้

แต่ด้วยเพราะโจเซฟีนไม่สามารถกำเนิดลูกให้แก่นโปเลียน นโปเลียนจึงตกลงใจที่หย่าร้างกับเธอ การหย่าจากโจเซฟีนทำให้หัวใจเขาเจ็บปวดแทบจะแตกสลาย

ขณะที่เขาเซ็นหนังสือหย่าเขาถึงกับร้องไห้ นั่งจมอยู่ในพระราชวัง เซื่องซึม และปฏิเสธที่จะพบใคร ๆ

หลังจากนั้นโจเซฟีนก็ย้ายไปอยู่ที่คฤหาสน์มาลเมซอง เพื่อเปิดทางให้พระจักรพรรดินีพระองค์ใหม่ ซึ่งต่อมาพระนางก็ให้กำเนิดพระโอรสคือสมเด็จพระจักรพรรดินโปเลียนที่ 2 แห่งฝรั่งเศส นั่นเอง 

โจเซฟีนใช้เวลาให้ผ่านไปกับการทำสวนดอกไม้ ซึ่งโดยเฉพาะกุหลาบที่ชอบมากที่สุด จนสวนดอกไม้ของเธอเป็นสวนที่สวยที่สุดในปารีส นโปเลียนจะมาเยี่ยมและสนทนารวมทั้งปรึกษาเรื่องต่าง ๆ เสมอ

ถึงแม้หลังการหย่า นโปเลียนจะไปแต่งงานกับเจ้าหญิงมารีหลุยส์แห่งออสเตรีย แต่ชีวิตการสมรสเต็มไปด้วยความเกลียดชังจากเจ้าหญิง และเมื่อเขาเริ่มแพ้สงคราม เจ้าหญิงก็ทิ้งเขาไป

ในขณะที่โจเซฟีนอายุ 51 ปี เธอก็เสียชีวิต (คาดว่าน่าจะเป็นปอดบวม) ขณะกำลังเดินเล่นในสวนที่หนาวเย็นในเสื้อผ้าที่บางเบา

เมื่อนโปเลียนทราบข่าวถึงกับขังตัวเองไว้ในห้องถึง 3 วัน เมื่อนโปเลียนหลบหนีออกจากเกาะเอลบามาได้เขาก็เดินทางไปยังคฤหาสน์มาลเมซอง

ในสมัยที่โจเซฟีนยังมีชีวิตอยู่เธอชอบกลิ่นของดอกไวโอเลตมาก เธอจะพรมตัวด้วยกลิ่นของดอกไวโอเลตอยู่เป็นประจำ

เมื่อนโปเลียนไปที่คฤหาสน์ก็นำดอกไวโอเลตไปใส่ล็อกเกต และเก็บล็อกเกตนี้ไว้จนกระทั่งวาระสุดท้ายของชีวิตเขา

คำพูดสุดท้ายของเขาคือ "...ฝรั่งเศส...กองทัพ...แม่ทัพ...โจเซฟีน..." นั่นเป็นหลักฐานว่านโปเลียนรักโจเซฟีนมาก เพียงแต่ไม่มีเวลาที่จะอยู่ร่วมกันเท่านั้น

วันอาทิตย์ที่ 16 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2557

ตำนานรัก โรเมโอ & จูเลียต

           



       วันนี้เราจะมาพูดถึงเรื่องราวความรักที่อาจจะจบแบบไม่สวยซักหน่อย แต่เป็นเรื่องราวที่หนุ่มสาวทุกยุกต์ทุกสมัยต่างจำกันได้ขึ้นใจ นั้นก็คือ โรเมโอ กับ จูเลียต นั้นเอง แล้วจะมีที่มายังไงเราลองไปดูกันค่ะ


      เรื่องนี้เกิดขึ้น ณ เมืองเวโรนา ได้มี 2 ตระกูลใหญ่ คือ ตระกูลคาปุเล็ตและมอนตาคิวซึ่งไม่ถูกกันมาช้านาน เรื่องเริ่มขึ้นเมื่อโรเมโอแห่งตระกูลมอนตาคิวได้แอบแฝงกายเข้าไปในงานเลี้ยงของตระกูลคาปุเล็ตและได้พบกับจูเลียต เพียงทั้งคู่สบตากันทั้งคู่ก็ตกหลุมรักกัน แต่กลับมีอุปสรรคเพราะความบาดหมางกันของทั้ง 2 ตระกูล โรเมโอกับจูเลียตจึงได้จัดการแต่งงานกันอย่างลับๆ วันหนึ่งเมอร์คิวชิโอ เพื่อนรักของโรเมโอเกิดการทะเลาะกับญาติของจูเลียตและญาติของจูเลียตก็ได้ฆ่าเพื่อนรักของโรเมโอตาย โรเมโอโกรธมากจึงได้พลั้งมือฆ่าญาติของจูเลียตตาย โรเมโอจึงได้รับคำตัดสินให้เนรเทศออกนอกเมืองตลอดกาล แล้วเมื่อจูเลียตต้องแต่งงานโดยที่จูเลียตไม่ต้องการ จูเลียตจึงพยายามหาทางที่จะหนีหลีกหนีงานแต่งงาน เมื่อจูเลียตได้รู้เรื่องยาวิเศษที่ทำให้เหมือนตายแล้วแต่จริงๆ ยังไม่ตายจากบาทหลวงที่ทำพิธีแต่งงานให้ทั้งคู่ จึงกินเข้าไปแล้วจากนั้นบาทหลวงก็ส่งม้าเร็วส่งสารถึงแผนการดังกล่าวแก่โรมิโอ แต่โรเมโอสวนกับคยส่งสาร โรเมโอมาถึงเข้าใจว่าจูเลียตตายจริงๆ จึงเสียใจมากจึงดื่มยาพิษฆ่าตัวตาย โรเมโอสิ้นใจเพียงครู่เดียวจูเลียตก็ฟื้นขั้นมา พอจูเลียตเห็นดังนี้นจึงใช้กรีตของโรเมโอฆ่าตัวตายตามโรเมโอไป บิดามารดาทั้งสองฝ่ายมากถึงก็โศกเศร้ามาก จึงเลิกวิวาทบาดหมางกันนับแต่นั้นเป็นต้นมา


นักบุญวาเลนไทน์ ( Vanlentine's Day )

  วันวาเลนไทน์

  วันวาเลนไทน์ ประวัติวันวาเลนไทน์ วันแห่งความรัก Valentine's Day เรามีประวัติวันวาเลนไทน์ สัญลักษณ์วันวาเลนไทน์ ธรรมเนียมถือปฏิบัติวันวาเลนไทน์ มาฝาก 

          วันวาเลนไทน์คงเป็นวันที่ใครหลาย ๆ คนรอคอย... โดยเฉพาะหนุ่มสาวที่ตื่นขึ้นมา พร้อมรอยยิ้ม เพื่อเตรียมของขวัญ คำหวาน และข้อความพิเศษ ๆ มอบให้กับคนรักอย่างแน่นอน..  และในโอกาสวาเลนไทน์วันแห่งความรักวันนี้ กระปุกดอทคอมก็ไม่พลาดหยิบยกเรื่องราวของวันวาเลนไทน์มาฝากกันอีกเช่นเคย มาดูกันซิว่า วันวาเลนไทน์เกิดขึ้นได้อย่างไร และชาวตะวันตกทำอะไรกันบ้างในวันสำคัญสำหรับชาวคริสต์วันนี้
           สำหรับประวัติวันวาเลนไทน์นั้น หลาย ๆ คนคงสงสัยว่าเกิดขึ้นเพราะอะไร เหตุเป็นเพราะวันที่ 14 กุมภาพันธ์นั้น เป็นวันเสียชีวิตของนักบุญวาเลนไทน์ หรือเซนต์วาเลนไทน์ นักบุญแห่งความรักนั่นเอง นักบุญวาเลนไทน์ เป็นผู้ริเริ่มการจัดงานแต่งงานในยุคที่ไม่นิยมให้แต่งงานกัน เหตุเพราะในช่วงนั้น โรม ต้องประสบกับสงคราม จักรพรรดิคลอดิอุสที่สอง ต้องการเกณฑ์คนไปรบ แต่มีบุคคลจำนวนมากที่มีครอบครัว มีภรรยา มีคนรัก ต่างไม่อยากจะทิ้งครอบครัวไป ทำให้ จักรพรรดิคลอดิอุสที่สอง ตัดสินใจให้ยกเลิกการแต่งงานและการหมั้นทั้งหมดของชาวโรมันในยุคนั้นไปหมด อย่างสิ้นเชิง

           แต่นักบุญวาเลนไทน์กลับสวนกระแสของจักรพรรดิคลอดิอุสที่สอง ชักชวนคู่รักมาแต่งงานหลายต่อหลายคู่ จนโดนจับตัวไปขังเอาไว้ และในคุกที่คุมขังนักบุญวาเลนไทน์นั้น เขาได้พบรักกับสาวตาบอดนางหนึ่ง เมื่อโดนจับได้ นักบุญวาเลนไทน์จึงถูกนำตัวไปประหารในวันที่ 14 กุมภาพันธ์ วันดังกล่าวจึงกลายมาเป็น วันวาเลนไทน์ วันที่ผู้คนจะรำลึกถึงนักบุญผู้อุทิศตนให้ความรักนั่นเอง

วันเสาร์ที่ 15 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2557

ประวัติส่วนตัว

ประวัติส่วนตัว





ชื่อ
นามสกุล             ด.ญ. เพชรดา    ชัยวิชาชาญ     เพศ  หญิง        ชื่อเล่น  พั้นซ์
เกิด(วัน/เดือน/ปี )       23 เมษายน 2542    อายุ 14  ปี
สถานที่เกิด                  โรงพยาบาลรามาธิบดี      หมู่โลหิต  B
สัญชาติไทย                 เชื้อชาติไทย     ศาสนา   พุทธ
นํ้าหนัก-ส่วนสูง         41 กรัม 160 เซนติเมตร
ที่อยู่ปัจจุบันบ้านเลขที่     372/1  หมู่ 1    ซอย/ -     ถนน/    -
         แขวง/ตำบล                       วังกระแจะ       เขต/อำเภอ  เมือง     จังหวัด  ตราด      รหัสไปรษณีย์  23000
         โทรศัพท์ - มือถือ              080-6343241      
         อีเมล์                                  charade_panch@yahoo.co.th
         วิชาที่ชอบ / วิชาที่ถนัด   วิชาสังคมศึกษา ประวัติศาสตร์   วิชาวิทยาศาสตร์
         งานอดิเรก                         ฟังเพลง    วาดภาพ  อ่านหนังสือ 
         สีที่ชอบ                              ขาว  ชมพู  ฟ้า  แดง 
         ความสามารถพิเศษ           ตีกลอง   ร้องเพลง
         กีฬาที่ชอบ                         แบตมินตัน  เดิน  (ไม่มีเป็นพิเศษ)
         อนาคตอยากจะเป็น         นักการทูต